เขียนโดย wattanachurch วันอังคารที่ 18 สิงหาคม 2009 เวลา 07:00 น.
Amazing Grace
ที่มาของเพลง “พระคุณพระเจ้า” “Amazing Grace” เพลงนมัสการ บทที่ 289 “พระคุณพระเจ้า”คำร้อง John Newton 1725-1807ทำนอง จาก Carrell and Clayton’s “Virginia Harmony,”c. 1831ชื่อทำนอง “Amazing Grace” Meter CM (86 86)ข้อพระคัมภีร์อ้างอิง 1 พงศาวดาร 17:16-17ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อและมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ เอเฟซัส 2:8-9บทเพลง พระคุณพระเจ้า นั้น ประพันธ์ โดย จอห์น นิวตัน (John Newton) เกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 1725 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ บิดาของ จอห์น มีอาชีพเป็นกับตันเรือ มารดาของจอห์นเป็น คริสเตียน ที่รักพระเจ้ามาก เดิมทีแม่ของจอห์น ตั้งใจ ให้ จอห์น รับใช้พระเจ้าหรือเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา แต่น่าเสียดายที่นางไม่ทันได้เห็น จอห์นเป็นศิษยาภิบาล ก็ต้องมาเสียชีวิตในขณะที่จอห์น มีอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน พ่อของจอห์นก็แต่งงานใหม่ทำให้จอห์นต้องย้ายไปอยู่ ณ โรงเรียนประจำ แต่เนื่องจากจอห์น ไม่ชอบอยู่ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับที่เคร่งครัดตลอดเวลา ทำให้จอห์นทนอยู่ที่โรงเรียนประจำ ได้เพียง 3 ปี ก็ต้องย้ายออกจากโรงเรียนไปหลังจากนั้นจอห์นก็กลับมาอยู่ที่บ้าน แต่เนื่องจากจอห์นเป็นเด็กที่ค่อนข้างจะเกเร ดังนั้น พ่อของเขาจึงพาจอห์นออกทะเลไปด้วย ต่อมาเมื่อจอห์นอายุได้ 18 ปี เขาก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือ แต่เนื่องจากจอห์นไม่ชอบชิวิตการเป็นทหารเรือเพราะลำบากและมีกฎระเบียบมากมาย ดังนั้นจอห์นจึงพยายามหลบหนี แต่ก็ไม่พ้นจากการถูกจับได้ดังนั้นจอห์นจึงถูกลงโทษอย่างหนักโดยการโบยด้วยแส้อย่างโหดร้าย ถูกขังและถูกทำโทษอีกหลายๆอย่าง นี่เองอาจเป็นสิ่งที่จอห์นได้เรียนรู้ถึงความโหดเหี้ยมทารุณ แน่นอน จอห์น จึงเริ่มมีบุคลิกและนิสัยที่ดุร้ายโหดเหี้ยมตามมาอยู่มาวันหนึ่ง จอห์น ก็สามารถหลบหนีจากการเป็นทหารเรือได้สำเร็จ และจอห์นเองก็ได้ร่วมหุ้นในการทำธุรกิจค้าทาสกับเพื่อนคนหนึ่ง ในการค้าทาสนั้นส่วนมากจะไปจับเอาทาส ผิวดำจากแอฟริกาเป็นหลักแน่นอน คงไม่ได้ไปซื้อหรือขอเขาเอามาเป็นทาส แต่ต้องใช้กำลังบังคับไปจับตัวมานั่นเอง เนื่องจากคุยกันคนละภาษาหรือไม่สามารถคุยกันให้เข้าใจได้นั้นการจับทาสมาและควบคุมดูแลนั้น จำต้องใช้กำลังการลงโทษ ในการบังคับควบคุมเหล่าทาสให้เชื่อฟังแน่นอนต้องใช้ความดุร้าย เด็ดขาดและเหี้ยมโหดมากพอจึงจะสามารถควบคุมเหล่าทาสได้ เช่น มีการทำโทษอย่างทารุณ สำหรับ ทาสที่พยายามขัดขืน มีการเฆี่ยนตีอย่างทารุณ บางครั้งถ้ามีทาสที่เจ็บป่วยอยู่ในเรือก็จะจับทาสนั้นโยนทิ้งลงทะเล ให้เป็นอาหารปลาไปจอห์นเองได้ทำธุรกิจค้าทาสจนเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากแต่แล้วท่ามกลางความสำเร็จ ในด้านธุรกิจนั้นเอง วันหนึ่งจอห์นได้ถูกเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนกันหักหลังโดยการทิ้งจอห์นไว้ที่เกาะร้างแห่งหนึ่งเพียงลำพังจอห์นต้องอยู่ที่เกาะร้างนั้นอย่างหมดหวังอยู่หลายวัน จนวันหนึ่งได้มีเรือแล่นผ่านมาทางเกาะร้างแห่งนั้นพอดี เหตุการณ์ไม่คิดไม่ฝันนั้นก็เกิดขึ้นเพราะเรือลำนั้น เป็น เพื่อนของบิดาของจอห์นนั่นเอง ดังนั้นจอห์นจึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากการเดินทางในเรือนั้นต้องใช้เวลานานมากจอห์นก็รู้สึกเบื่อและไม่รู้จะทำอะไร ดังนั้นการใช้เวลาที่ว่างในการอ่านหนังสือจึงเป็นสิ่งที่จอห์นกระทำในเวลานั้น ณ ที่เรือลำนี้จอห์นได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ“จำลองแบบพระคริสต์” ของ ทอมัส เอ เคมบิส และหนังสือเล่มนี้ ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตของจอห์นในเวลาต่อมา เมื่อจอห์นได้กลับถึงกรุงลอนดอนแล้วไม่นาน เขาก็พยายามจะเริ่มต้นธุรกิจของเขาอีกครั้งโดย กลับไปประกอบอาชีพ ค้าทาส ดังเดิมอีกครั้งหนึ่งเมื่อ วันที่ 10 มีนาคม 1748 ขณะที่เรือของจอห์นกำลังเดินทางกลับไปสู่ประเทศอังกฤษอยู่นั้นเรือของจอห์นพบกับพายุใหญ่ที่รุนแรงน่ากลัวซึ่งมีทีท่าว่าจะทำให้เรือของจอห์น จะอับปางหรือจมลงไป ลูกเรือและจอห์น ทุกๆคนพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ทำให้เรือจม พวกเขาพยายามวิดน้ำออกตลอดเวลา พวกเขาก็ทิ้งเสบียงอาหารทุกอย่างลงที่ทะเลเพื่อให้เรือนั้นเบาขึ้น พวกเขาต้องทนอยู่กับพายุเป็นเวลา 4 สัปดาห์โดยที่ไม่มีอาหารกินต้องตกปลาหาเลี้ยงชีพไปวันๆท่ามกลางสภาวะที่เฉียดความตายนั้นเอง จอห์นเริ่มคิดถีงพระเจ้าซึ่งเขาเคยได้ยินและ อ่านจากในหนังสือที่กล่าวถึง ความรัก การให้อภัย การช่วยเหลือ ที่มาจากพระเจ้า ดังนั้น จอห์นจึงตัดสินใจอธิษฐานรับองค์พระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต และอธิษฐานขอการทรงช่วยเหลือ ให้พ้นจากพายุนี้ อัศจรรย์เกิดขึ้น พายุเริ่มสงบลง จอห์นสามารถรอดพ้นจากวิกฤตนั้นได้อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจอห์นจะเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต เขาก็ยังคงประกอบอาชีพค้าทาสต่อไปเพียงแต่เขาพยายามทำสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในเรือเช่น มีการจัดให้มีการนมัสการพระเจ้าทุกสัปดาห์กับเหล่าลูกเรือ อย่างไรก็ตามจอห์นก็รู้สึกว่าการกระทำของตัวท่านเอง เป็นการกระทำที่ป่าเถื่อนประกอบกับเริ่มมีการต่อต้านแรงขึ้นเรื่อยๆ จากพวกทาสและคนอังกฤษเองมากขึ้นเรื่อยๆ จอห์นเริ่มรู้ผิดและเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นเมื่อเขากลับไปถึง ลอนดอน เขาก็เลิกอาชีพค้าทาสเสียวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1750 จอห์น ได้แต่งงาน กับ Mary Catlett ซึ่งเป็นผู้หญิงที่อธิษฐานเผื่อจอห์นอยู่เสมอ ที่นั่นเองจอห์นได้เริ่มชีวิตใหม่โดยการทำงานเป็นเสมียน ณ เมือง Liverpool เป็นเวลา 9 ปีต่อมา จอห์นเริ่มรู้สึกถึงการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจถวายตัวเรียนพระคัมภีร์และได้พบกับนักเทศน์ท่านหนึ่ง ชื่อ จอร์จ วิลฟิลด์ และจอห์น เวสเล่ย์ ซึ่งเป็นนักประกาศที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น บุคคลสองท่านนี้เป็นผู้หนุนใจและเป็นแรงผลักดันอย่างมาก ในการทำงานพันธกิจรับใช้พระเจ้าของจอห์นต่อมาเมื่อจอห์นอายุ 39 ปี จอห์นได้บวชเป็นนักบวชในนิกาย Anglican โดยทำงานเป็นศิษยาภิบาลที่โบสถ์เล็กๆแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน Olney ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับเมือง Cambridge เป็นระยะเวลา 15 ปี ที่นี่จอห์นได้เทศนาสั่งสอน และเป็นพยานถึงชีวิตของท่านถึงในอดีตที่ท่านเป็นโหดร้ายทารุณและการประกอบอาชีพค้าทาส แต่โดยพระคุณความรักของพระเจ้า ทำให้ท่านได้รับอภัยโทษบาป เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ มีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ณ คริสตจักร ที่ท่านอยู่นั้น พระเจ้าได้ทรงอวยพระพรเป็นอย่างมาก มีผู้มาร่วมนมัสการมากจนต้องมีการต่อเติมขยายโบสถ์ออกไปอีกและแทบทุกวัน จะมีการเรียนพระคัมภีร์ และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ณ คริสตจักรแห่งนี้และจอห์นได้ประพันธ์บทเพลงใหม่ๆ ขึ้นอีกหลายบทเพลง มีการรวบรวมบทเพลงใหม่ๆไว้เป็นเล่ม มี 349 บท โดยเป็นเพลงที่จอห์นได้ประพันธ์ไว้จำนวน 300 บท มี“เพลงพระคุณพระเจ้านั้นแสนชื่นใจ” รวมอยู่ด้วยครั้งหนึ่งเมื่อจอห์น อายุได้ 82 ปี ขณะที่ท่านใกล้จะเสียชีวิตนั้น ท่านได้กล่าวไว้ว่า “แม้ความทรงจำจะเลอะเลือนเพียงไรก็ตาม แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้ดีเสมอนั้นมี 2 ประการ คือ “ข้าพเจ้าเป็นคนบาปที่สุด และ พระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่ทรงฤทธิ์ ที่สุด”“ จากคนค้าทาสเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ทุกสิ่งเป็นไปได้ โดยพระคุณ และความรักของพระเจ้าพระองค์ทรงรักมนุษย์ทุกคน และทรงให้โอกาสกับทุกคนที่จะกลับมาหาพระองค์ สู่อ้อมแขนแห่งพระคุณความรักของพระองค์ ”